มารู้จักกับสายพันธุ์เจ้าเหมียวกัน

สายพันธุ์เจ้าเหมียว

10 อันดับ สายพันธุ์แมวที่ฮิตในตอนนี้ในประเทศไทย




แน่นอนครับว่ามนุษย์ในปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสัตว์เลี้ยงได้เขามามีส่วนสำคัญกับชีวิตของคนเรามากขึ้น เนื่องจากว่าสภาพสังคมของเรานั้นได้เปลี่ยนแปลงไป จากครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกหลายคนมาเป็นครอบครัวเดี่ยว จากสังคมชนบทมาเป็นสังคมเมือง เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไปจากเดิมจึงทำให้มีผลต่อสภาพจิตใจของคน เกิดความเหงา ความเครียดขึ้นมาได้ สิ่งหนึ่งที่จะเข้ามาทดแทนและดูแลจิตใจได้ดีที่สุดก็น่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สุนัข แมว ปลามนุษย์รู้จักนำสุนัขมาเป็นสัตว์เลี้ยงในครอบครัวเมื่อประมาณ 12,000 ปีมาแล้ว ส่วนแมวได้เริ่มเข้ามามีชีวิตในบ้าน เมื่อ 5,000 ปีมานี้เอง นักจิตวิทยามักจะถามว่า เหตุใดคนเราจึงนิยมมีสัตว์เลี้ยง

          คำตอบหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับคือว่า การมีสัตว์เลี้ยงเป็นการตอกย้ำความรู้สึกตามธรรมชาติของคนว่ามีความรัก และหวังดีต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ 

          ในรัชสมัยของพระนางวิกตอเรีย รัฐบาลอังกฤษ ได้เคยออกกฎหมายคุ้มครองสัตว์ให้รอดพ้นจากการถูกเฆี่ยนตี ก่อนที่จะมีกฎหมายคุ้มครองเด็กเสียอีก

          ทั้งนี้ สถิติการสำรวจในอเมริกาพบว่า คนอเมริกันเลี้ยงสุนัข 60 ล้านตัว แมว 55 ล้านตัว ประธานาธิบดี Bushเลี้ยงสุนัข Clinton เลี้ยงแมว และถึงแม้สัตว์เหล่านี้จะสร้างความรำคาญ และนำโทษมาให้เป็นครั้งคราว เช่น พยาธิ psittacosis ซึ่งทำให้เกิดอาการไข้หวัดก็มักจะมาจากนก พยาธิตัวกลมมักจะมาจากอจุจาระแมว แต่คนที่มีเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ก็ต้องยอมทน เพราะเขาได้รับมิตรภาพอันอบอุ่นจากสัตว์เป็นสิ่งตอบแทน

          ปัจจุบันนี้มีงานวิจัยหลายชิ้น ที่กำลังแสดงให้เห็นว่า สัตว์เลี้ยงนอกจากให้ความเป็นเพื่อนแก่คนเลี้ยงแล้ว มันยังอำนวยประโยชน์ด้านอื่น ๆ อีก เช่น E. Fried mann แห่ง City University of New York พบว่า คนไข้โรคหัวใจที่มีสัตว์เลี้ยงมีโอกาสเสียชีวิตน้อยกว่าคนที่ไม่เลี้ยงอะไรเลยถึง 3% เขาพบว่า สัตว์เลี้ยงช่วยลดความดันโลหิตให้กับเจ้าของ 

          และเมื่อไม่นานมานี้เอง นักจิตวิทยาชาวอังกฤษผู้หนึ่งพบว่า คนที่เลี้ยงแมวหรือสุนัข มักจะไม่เป็นโรค ปวดหัวหรือปวดหลัง และคนที่มีสัตว์เลี้ยงจะมีโคเลสเตอรอลในเลือดน้อยกว่าคนที่ไม่มี นั่นก็หมายความว่าหมา และแมวทำให้เจ้าของมีโอกาสเป็นโรคหัวใจน้อย เหตุที่เป็นเช่นนี้ นักจิตวิทยา J.Serpell อธิบายว่า คงเป็น เพราะคนที่เลี้ยงสัตว์จะต้องพามันออกกำลังกาย เขาจึงต้องเดินออกกำลังกายไปด้วย สุขภาพร่างกายโดยทั่วไป ของเจ้าของจึงดี

          นอกจากนี้ นักจิตวิทยาเชื่อว่า สัตว์เลี้ยงมีบทบาทช่วยในการเสริมสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ให้กับผู้เลี้ยง เพราะถึงแม้มันจะพูดไม่ได้ มันก็ไม่เคยโกหก ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์เจ้าของ มันนั่งฟัง มันเข้าใจ มันไม่ถาม ไม่สงสัย มันซื่อสัตย์ มันจึงเป็น "เพื่อน" ที่จำเป็นมากสำหรับคนบางคน นักจิตวิทยาหลายคนกำลังใช้วิธีหาหมาหรือแมวให้กับคนไข้ที่ป่วยทางจิตใจ เพราะหมาหรือแมวเหล่านี้แสดงความเป็นเพื่อนกับคนได้มากกว่าสัตว์ชนิดอื่น มันรู้จักเคล้าแข้ง เคล้าขา มันนั่งเฝ้าระวังขโมยและมันเชื่อฟังมากเสียจนทำให้คนเลี้ยงรู้สึกว่า ตัวเองเป็นที่น่ายกย่อง เป็นที่ชื่นชม และเป็นที่ต้องการ ในแง่นี้สัตว์เลี้ยงจึงทำ หน้าที่เติมความมั่นใจในตนเองให้กับผู้เลี้ยง ทำให้เขามีความรู้สึกที่ดี รู้สึกสู้กับความกดดันภายนอก

          ในเมื่อสัตว์เลี้ยงดีถึงปานนี้แล้ว เหตุไฉนบ้านทุกบ้านจึงไม่มีสัตว์เลี้ยงด้วยเล่า สำหรับเรื่องนี้นักจิตวิทยาพบว่า ประสบการณ์ในวัยเด็กมักจะเป็นตัวกำหนดรูปแบบของชีวิตในวัยผู้ใหญ่ เด็กใดที่ได้รับการเลี้ยงดูมากับสัตว์เลี้ยง เวลาโตขึ้นเขาก็มักจะนิยมนำสัตว์มาเลี้ยง เด็กใดที่พ่อแม่ไม่เคยเลี้ยงอะไรเลย เวลาเติบใหญ่ก็มักจะไม่เลี้ยงอะไรเลยเหมือนกัน นักจิตวิทยายังตั้งข้อสังเกตอีกว่า คนใดที่มีสัตว์เลี้ยงตามปกติแล้วก็มักจะมีจิตใจที่สงสารและเอื้ออาทรต่อสิ่งแวดล้อมต่อสัตว์ และเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากกว่าคนที่ไม่มีสัตว์เลี้ยง

          ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่สุดเพราะสำหรับผู้เขียนเองนั้น ไม่ได้รับการปลูกฝังให้เลี้ยงสัตว์มาตั้งแต่เด็ก ๆ จึงไม่มีความผูกพันกับสัตว์เลี้ยงมากนัก ถามว่ารักมั้ย ชอบมั้ย ตอบได้ว่า ก็รักนะ ไม่ได้เกลียด แต่คงจะไม่มากพอเท่ากับคนที่ได้เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ๆ พอมามีลูกด้วยความที่เราไม่มีสัตว์เลี้ยงในครอบครัว ลูกก็จะเหมือนกับเราก็คือ จะไม่มีความผูกพันกับสัตว์เลี้ยงเอาซะเลย บางครั้งจะกลัวเสียด้วยซ้ำ มื่อเห็นสุนัขหรือแมว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอาซะเลย ทำให้กลับมาคิดว่าทำไมนะ เราถึงไม่ปลูกฝังให้เค้าเป็นคนที่รักสัตว์แทนที่จะกลัวอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่สัตว์เลี้ยงมีประโชน์ตั้งหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นทางด้านจิตใจ ทำให้จิตใจอ่อ่นโยน มีเมตตา หรือในด้านร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงได้ออกกำลังกายในการพาเค้าวิ่งเล่น ประโยชน์มากมายขนาดนี้ ใครที่ยังห่างไกลจากสัตว์เลี้ยงก็ลองหาโอกาสได้ใกล้ชิดซะแล้วจะได้รู้ว่า ของเค้าดีจริง


มาเริ่มกันที่อันดับที่ 10 กันเลย


10.แมวเบงกอล (Bengal)

แมวเบงกอลเป็นแมวที่มีลวดลายสวยงาม คล้ายกับลูกเสือดาวตัวน้อยๆ โดยสันนิษฐานว่าแมวเบงกอลนั้นเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่าง แมวดาวกับแมวบ้านสายพันธุ์อียิปต์เชียนมัวร์ ซึ่งเป็นแมวอียิปต์โบราณ ที่มีลักษณะคล้ายกับแมวป่า ถูกนำมาพัฒนาสายพันธุ์ โดย Jean Mills หญิงสาวชาวอเมริกันที่คลั่งไคล้ในลายของแมวป่า

การเลี้ยงดูแมวเบงกอล

ถึงแม้แมวเบงกอลจะสืบสายพันธุ์มาจากแมวป่า แต่กลับมีรูปร่างที่เพรียวยาว ช่วงสะโพกมีความสูงกว่าหัวไหล่ ปลายหางชี้ลง ใบหูกลมสั้น ตารูปไข่ มีช่วงปากกับจมูกกลมกว่าแมวบ้าน และมีจุดเด่นอยู่ที่ลายขนคล้ายแมวป่า หรือที่เรียกกันว่า ลายหินอ่อน พวกมันมีนิสัยที่น่ารัก ไม่ดุร้าย นอกจากนี้แมวเบงกอลยังเป็นแมวที่ซุกซน ชอบวิ่งไล่สิ่งของต่างๆ รวมทั้งชอบปีนป่ายขึ้นที่สูงอยู่เป็นประจำ การเลี้ยงดูก็เหมือนกับการดูแลแมวทั่วไป ควรใส่ใจในเรื่องอาหารเป็นพิเศษ โดยต้องเพิ่มเมนูเนื้อวัวสดจากอาหารที่กินเป็นประจำ ซึ่งเนื้อสดที่ให้ก็ต้องผ่านการเก็บรักษาด้วยการแช่แข็ง เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อรา แบคทีเรีย แต่ถ้าอยากให้มันมีสุขภาพดี และมีขนสวยงาม ห้ามให้เนื้อไก่หรือเนื้อหมูโดยเด็ดขาด
และนี่ก็คือ 10 สายพันธุ์แมวที่คนไทยนิยมเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนคลายเหงามากที่สุดค่ะ เป็นอย่างไรบ้างเอ่ย มีใครสนใจหรือเล็งพันธุ์ไหนไว้บ้างไหมคะ? แต่อยากจะฝากไว้สักนิดนึงว่าเมื่อเราตัดสินใจจะรับเจ้าเหมียวมาเลี้ยงแล้ว เราก็ควรดูแลเอาใจใส่อย่างดีที่สุด เพราะแต่ละสายพันธุ์ก็มีขั้นตอนการดูแลยากง่ายแตกต่างกันไปนั่นเองครับ

อันดับที่ 9 ต่อกันเลย


9.แมวเมนคูน (Main Coon)

พี่ใหญ่ใจดีแมวเมนคูน ถึงแม้ว่ามันจะมีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าแมวปกติจนได้รับสมญานามว่า Gentel Giant โดยชื่อของแมวสายพันธุ์นี้ มีที่มาจากรัฐเมน (Maine) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของมัน ส่วนคำว่า คูน (Coon) มาจากคำบอกเล่าของชาวพื้นเมืองที่กล่าวว่า แมวบ้านเผลอไปกุ๊กกิ๊กกับตัวแรคคูนจนมีการจับ 2 คำนี้มารวมกัน กลายเป็นชื่อที่ใช้เรียกกันทั่วไปว่า เมนคูน

การเลี้ยงดูแมวเมนคูน

แมวเมนคูนนั้นจะมีรูปร่างที่สมส่วน ดูสง่างาม มั่นคงแข็งแรง เมื่อตัวโตเต็มที่จะมีความยาวตั้งแต่หัวจรดปลายหางประมาณ 1 เมตร ด้วยกัน น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 12-15 กิโลกรัม หู้ย ย ย ถือว่าหนักใช้ได้เลยนะ นี่แมวหรือหมูชักไม่แน่ใจแล้วหล่ะสิ มีนิสัยขี้อ้อน ขี้เล่น ร่าเริง โดยตั้งแต่เด็กไปจนถึงวัยเจริญพันธุ์ อายุขัยของแมวพันธุ์นี้อยู่ที่ราวๆ 15 ปี แต่เนื่องจากร่างกายที่ค่อนข้างใหญ่ การให้อาหารแบบแมวทั่วไปอาจไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต เจ้าของควรเสริมด้วยเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ ในส่วนขนของนั้นหวีง่าย เพราะเป็นแมวกึ่งขนยาว จึงไม่มีปัญหาขนพันกันแบบแมวเปอร์เซียจ้า

อันดับที่ 8 ต่อกันเลย


8.แมวเอ็กโซติก (Exotic)

เจ้าแมวหน้าบูดๆ แบบบอกบุญไม่รับ มีลักษณะดั้งหัก สืบเชื้อสายมาจากแมว 2 สายพันธุ์ ระหว่างแมวเปอร์เซีย กับ แมวอเมริกัน ช็อตแฮร์ เลยกลายมาเป็นเจ้าแมวเอ็กโซติกนั่นเอง โดยแมวพันธุ์นี้จะมีหลากหลายสีแตกต่างกันไป เช่น Exotic Cream Tabby, Exotic Blue Tabby, Exotic Red Tabby นั่นเองจ้า

การเลี้ยงดูแมวเอ็กโซติก

โดยทั่วไปของน้องแมวเอ็กโซติกเนี่ยจะคล้ายๆ แมวเปอร์เซียไปซะหมดเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นหัวที่กลม กะโหลกใหญ่ ใบหูเล็ก ดั้งหักเล็กน้อยแบบตะมุตะมิ แต่เส้นขนที่นุ่มสั้นคล้ายกับกำมะหยี่ นับได้ว่าเป็นจุดเด่นของสายพันธุ์นี้เลยค่ะ ส่วนเรื่องนิสัยก็คงไม่มีอะไรแตกต่างจากเปอร์เซียเท่าไหร่ เพราะเจ้าเอ็กโซติกนี้เป็นแมวที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ และไม่ค่อยหงุดหงิด นอกจากนี้ยังพบว่าบางตัวจะชอบนั่งอยู่บนไหล่ของคุณ เวลาคุณนั่งเล่นด้วยก็เป็นได้ ดังนั้น คุณแทบจะไม่ได้ยินเสียงร้องของแมวพันธุ์นี้เลยค่ะ ส่วนการดูแลก็แทบจะไม่ต้องมีเรื่องอะไรให้น่ากังวลมาก ถือเป็นพันธุ์แมวที่น่าเลี้ยงไว้ในบ้าน แถมการดูแลรักษาน้อยกว่าแมวเปอร์เซีย เพราะขนแมวพันธุ์นี้จะไม่จับตัวเป็นก้อน หรือพันกันให้ยุ่งเหยิงอีกด้วย

อันดับที่ 7 ต่อกันเลย

7.บริติช ช็อตแฮร์ (British Shorthair)

แมวท้องถิ่นสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดบนเกาะอังกฤษ ซึ่งเล่ากันว่าบรรพบุรุษของพวกมันมาจากแมวที่ชาวโรมันเอามาเลี้ยงเมื่อ 2,000 ปี ก่อน และเป็นแมวที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในประเทศต้นกำเนิด และประเทศอื่นแถบยุโรปจนถึงยุคปัจจุบัน เนื่องจากมันเป็นแมวที่มีความเฉลียวฉลาด จึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฝึกสัตว์ เพื่อใช้ในการโฆษณาทางโทรทัศน์ หรือเข้าฉากในภาพยนตร์ของฮอลลีวูดเลยเชียวนะ

การเลี้ยงดูแมวบริติช ช็อตแฮร์ 

แมวบริติช ชอร์ตแฮร์ เป็นแมวที่มีลักษณะกะทัดรัด แข็งแรง หน้าอกเต็มและกว้าง ขาสั้น อุ้งเท้ากลม หางหนา ดูแลง่าย อายุเฉลี่ยอยู่ประมาณ 15-20 ปี แต่อาจจะมีพัฒนาการและการเจริญเติบโตช้าอยู่สักหน่อย ควรเลี้ยงในบ้าน ส่วนในเรื่องนิสัยของเจ้าแมวพันธุ์นี้ค่อนข้างนิ่งสงบกว่าพันธุ์อื่นๆ เป็นมิตรกับผู้คนรวมถึงสัตว์ชนิดอื่น ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ง่าย เมื่อใครเลี้ยงแมวพันธุ์นี้จะพบได้ว่าไม่ค่อยพบเห็นเจ้าแมวสายพันธุ์นี้ส่งเสียงรบกวน แสดงอาการก้าวร้าว หรือทำลายสิ่งของให้เห็น นับว่าเป็นแมวจากเมืองผู้ดีจริงๆ นะเนี่ย ว้าว ว ว ว ว ว เยี่ยมไปเลยเจ้าเหมียว

อันดับที่ 6 ต่อกันเลย


6.แมวขาวมณี

เรื่องของขาวมณีนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันความเป็นมาที่ชัดเจนสักเท่าไรค่ะ เพราะจากประวัติที่ว่ามานั้น ขาวมณีจะเริ่มมีให้พบเห็นมากก็ในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งมีข้อสันนิษฐานกันว่า ขาวมณีน่าจะเป็นแมวที่ติดมากับเรือสำเภาของพ่อค้าจีน ที่เลี้ยงไว้จับหนูบนเรือ แต่เนื่องจากสีขาวเป็นสีที่ดูสะอาด และเป็นสีมงคลสำหรับคนไทย ดังนั้น แมวขาวมณีจึงกลายเป็นแมวบ้านนับจากนั้นเป็นต้นมา ที่สำคัญแมวพันธุ์นี้ยังเป็นแมวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษด้วย

การเลี้ยงดูแมวขาวมณี

จุดเด่นของแมวขาวมณี นอกจากจะมีขนสีขาวปลอดทั่วทั้งตัวแล้ว นัยน์ตาทั้ง 2 ข้างของแมวขาวมณียังแตกต่างไปจากแมวไทยพันธุ์อื่น โดยมีทั้งนัยน์ตาสีฟ้า สีเหลืองอำพัน และตา 2 สี ขนสีขาวเนียนสนิท โดยส่วนใหญ่แล้วเจ้าขาวมณีนี้เป็นแมวเชื่อง ช่างประจบประแจง ชอบเข้ามาออดอ้อน ไม่ว่าเจ้าของจะทำอะไรอยู่ก็ตาม แถมเชื่อฟังคำสั่งเจ้าของ จึงเหมาะกับการเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาได้ดีเลยทีเดียว โดยส่วนมากมักจะนิยมเลี้ยงขาวมณีไว้เป็นคู่ ว่าแล้วก็อยากจะเลี้ยงแมวตัวขาวๆ ไว้แก้เหงาสักตัวแล้วล่ะสิ

อันดับที่ 5 ต่อกันเลย

5.แมววิเชียรมาศ

แมวไทยที่ชาวต่างชาติรู้จักกันดีในชื่อ Siamese Cat หรือ แมวสยาม หนึ่งในต้นตระกูลของแมวไทยที่ถูกนำไปปรับปรุงจนเกิดแมวไทยอีกหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งตามตำนานสมุดข่อยได้กล่าวไว้ว่า หากใครได้เลี้ยงแมววิเชียรมาศจะได้เป็นขุนนาง เพราะถือว่าแมววิเชียรมาศเป็นแมวแห่งโชคลาภนั่นเอง

การเลี้ยงดูแมววิเชียรมาศ

นิสัยโดยปกติของเจ้าเหมียววิเชียรมาศนี้ ก็คล้ายกับแมวไทยทั่วไป คือ มีความฉลาด คล่องแคล่ว ปราดเปรียวเหมือนกับรูปร่าง มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่จะสุภาพเรียบร้อย ถึงภายนอกเจ้าวิเชียรมาศนั้นออกจะดูรักสันโดษไปสักหน่อย แต่ความจริงแล้วกลับไม่ชอบอยู่ตามลำพัง ดังนั้น มันจึงเป็นแมวขี้อ้อน ประจบประแจงเก่ง โดยการเลี้ยงดูเจ้าเหมียววิเชียรมาศนี้ ในช่วงเวลากลางวันเราควรปล่อยให้ออกไปวิ่งเล่นได้ตามประสา เพราะเจ้าเหมียวนั้นรักอิสระ แต่ก็ควรดูแลในเรื่องของการขับถ่ายสักหน่อย เพราะมันจะชอบไปขับถ่ายในที่ที่เป็นจุด หรือมุมอับของบ้าน ซึ่งทางที่ดีเราควรหัดให้เจ้าเหมียวฝึกอึ ฉี่ ในกระบะทรายที่มุมใดมุมหนึ่งของบ้านให้เป็นนิสัย เพราะหากเจ้าแมวที่เป็นตัวผู้โตขึ้นแล้ว มันมักจะขับถ่ายไม่ค่อยเป็นที่สักเท่าไหร่หน่ะสิ

อันดับที่ 4 ต่อกันเลย

4..แมวโคราช (Korat)

เจ้าเหมียวพันธุ์นี้มีชื่อเรียกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แมวมาเลศ แมวดอกเลา หรือแมวสีสวาด ซึ่งเป็นหนึ่งใน 17 แมวมงคลของไทย ที่ได้รับพระราชทานชื่อมาจาก สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 5 ตามแหล่งกำเนิดของแมวพันธุ์นี้พบใน อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ชื่อเสียงของแมวโคราชโด่งดังไปทั่วโลก หลังจากชนะเลิศงานประกวดประจำปีที่สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1966 ว้าว ว ว ว ว แมวไทยดังไกลไปเมืองนอกเลยนะเหมี๊ย ว ว วว

การเลี้ยงดูแมวโคราช

ลักษณะแมวโคราชนั้นจะมีขนเรียบ โคนขนสีเทาขุ่น ส่วนปลายขนนั้นจะเป็นสีคล้ายผมหงอก และเป็นสีเช่นนี้ตลอดทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดปลายหาง โดยปกติแล้ววิธีการดูแลก็จะเหมือนแมวไทยทั่วไปนั่นแหละค่ะ เราต้องฉีดวัคซีนให้ครบตามกำหนด และควรใส่ใจในเรื่องการถ่ายพยาธิให้มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการฉีดวัคซีน 3 ชนิดต่อปีให้ครบถ้วน นั่นก็คือ วัคซีนป้องกันหัดแมว ลูคีเมีย และพิษสุนัขบ้า นั่นเองครับ

อันดับที่ 3 ต่อกันเลย

พันธุ์แมว3

3.สก็อตติช โฟลด์ (Scottish Fold)

เป็นแมวที่มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศสกอตแลนด์ โดยแมวพันธุ์ Scottish Fold นี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ.1961 ในสกอตแลนด์ ชื่อว่า Susie มีลักษณะเป็นแมวสีขาวที่มีหูพับไปมาทั้งด้านหน้า และด้านหลังได้ ใบหน้ามีลักษณะคล้ายนกฮูก หรือหน้าของตัวนาก ผู้ที่สังเกตเห็นคนแรกคือ William Ross มีอาชีพเป็นคนเลี้ยงแกะ William และ Marry ภรรยาของเขาเป็นคนที่รักแมวมาก ทั้งคู่สนใจในตัวของเจ้า Susie เป็นอย่างมากมาก เมื่อเจ้า Susie ได้ออกลูกเป็นลูกแมวหูพับ 2 ตัว ครอบครัวของเขาจึงขอลูกแมวตัวเมียตัวหนึ่งมาเลี้ยง และได้ตั้งชื่อว่า Snooks นี่จึงเป็นต้นกำเนิดของสายพันธุ์ Scottish Fold

การเลี้ยงดูแมวสก็อตติช โฟลด์

โดยเจ้าสก็อตติช โฟลด์ จะเป็นแมวที่ไม่ค่อยส่งเสียง และชอบทำกิจกรรมในระดับผู้ดีคือ ไม่ค่อยกระโดดไปเล่นซนนัก มันชอบที่จะเล่นเฉพาะเวลาที่มีเจ้าของมาร่วมเล่นด้วยเท่านั้น เจ้าเหมียวสายพันธุ์นี้จะมี 2 แบบ คือ ขนสั้นกับขนยาว ซึ่งทั้ง 2 แบบจะมีลักษณะตัวกลม หัวกลม ช่วงคอสั้น ดวงตากลมใหญ่ และมีหูตั้งตรงขนาดกลาง ไปจนถึงหูพับขนาดเล็ก ปลายหูส่วนใหญ่จะกลม หูของลูกแมวจะเริ่มพับในช่วง 2-3 อาทิตย์แรก ซึ่งบางตัวมีปากโค้งได้รูปรับกับคางพอดี จึงเป็นที่มาของสมญานามว่า Smiling Cat หรือ แมวยิ้ม นั่นเอง บางตัวอาจไม่ชอบนอนบนตัก แต่เลือกที่จะอยู่ใกล้ๆ กับเจ้าของแทน เหตุอาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งเจ้าเหมียวพันธุ์นี้มีอุปนิสัยน่ารัก และค่อนข้างสุภาพเรียบร้อย แถมยังขี้อ้อนแบบสุดๆ ไปเลยล่ะค่ะ แหมเป็นใครใครจะไม่รัก แถมการดูแลเจ้าเหมียวสก็อตติชนี้ก็ง่ายแสนง่าย แค่หมั่นแปรงขน 1-2 ครั้ง ต่อสัปดาห์ แต่คงต้องเพิ่มการดูแลมากขึ้นอีกสักหน่อยนะคะ เพราะหากคุณเลือกที่จะเลี้ยงแบบขนยาวแล้วล่ะก็ ต้องดูแลเยอะสักหน่อยโดยเฉพาะบริเวณใบหูของน้องแมวนั่นเอง ให้หมั่นทำความสะอาดบ่อยครั้งพอๆ กับการแปรงขน เพราะการที่เราดูแลน้องแมวให้ดีก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพของน้องนั่นเองค้าบบ

อันดับที่ 2 ต่อกันเลย



2.อเมริกันช็อตแฮร์ (American Short Hair)

แมวสายพันธุ์อเมริกาที่สืบเชื้อสายมาจากประเทศในแถบยุโรป และแพร่พันธุ์มายังอเมริกา เมื่อสมัยที่ชาวยุโรปเดินทางไปแสวงหาถิ่นที่อยู่ใหม่ โดยพวกเขาได้นำแมวอเมริกันช็อตแฮร์ติดเรือไปด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้หนูทำลายข้าวของ และได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ในเวลาต่อมา จนกระทั่งกลายเป็นแมวพื้นเมืองขนสั้นของอเมริกาไปในที่สุด

การเลี้ยงดูแมวอเมริกันช็อตแฮร์

โดยทั่วไปแล้วน้องเหมียวอเมริกันชอร์ตแฮร์จะมีขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ ลำตัวโต
มีกล้ามเนื้อแข็งแรง มองเห็นชัดเจน อกใหญ่ ขาใหญ่ ใบหูมีขอบเป็นทรงกลมมน ส่วนหัวมีลักษณะเป็นรูปไข่ ดวงตากลมโตเป็นสีเขียวมรกต มีลักษณะสีขน ส่วนอุปนิสัยของอเมริกันช็อตแฮร์นั้นเป็นแมวที่ช่างสงสัย นิสัยร่าเริง ชอบเล่น มีเสน่ห์ แต่จะฝึกค่อนข้างยาก เจ้าของควรจะคลุกคลีและอยู่กับแมวให้มากๆ การดูแลเจ้าเหมียวพันธุ์นี้ก็จะค่อนข้างยุ่งยากไปสักหน่อยค่ะ เพราะว่าน้องจะค่อนข้างที่จะเป็นหวัดง่าย และเป็นเชื้อราง่าย โดยก่อนจะตัดสินใจเลี้ยงน้องแมวพันธุ์นี้ ควรศึกษาและทำความเข้าใจให้ดีก่อน เพราะถ้าหากเจ้าของดูแลไม่ดีก็จะเลี้ยงลำบาก สำหรับใครที่เลี้ยงอยู่แล้ว ควรพาแมวไปตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนเป็นประจำ ส่วนปัญหาถัดมาคือ น้องจะขนร่วง แต่เรื่องนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหาอะไรมากมายนักค่ะ เพราะน้องจะผลัดขนเพียงแค่ปีละ 2ครั้ง เท่านั้นครับ

ในที่สุดก็มาถึงอันดับที่ 1 ของเราจนได้

1.แมวเปอร์เซีย (Persian)

ถือได้ว่าเป็นแมวที่สวยงามมากในทางฝั่งตะวันออกกลาง แน่นอนเลยว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเปอร์เซีย หรือประเทศตุรกีกับอิหร่านในปัจจุบัน เปอร์เซียถือเป็นแมวต่างประเทศสายพันธุ์แรกๆ เลยก็ว่าได้ที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย จึงทำให้แมวสายพันธุ์นี้ยังคงเป็นที่นิยมในหมู่คนรักแมว เพราะนอกจากจะมีหน้าตาน่าเอ็นดูแล้ว ขนฟูของเจ้าแมวเปอร์เซียนี้ยังมีสีสันที่หลากหลาย และนิสัยส่วนตัวก็แสนน่ารักอีกด้วยล่ะค่ะ แหม่…แบบนี้ใครไม่ตกหลุมรักก็บ้าแล้ว

การเลี้ยงดูแมวเปอร์เซีย

เนื่องจากลักษณะของเจ้าเปอร์เซียนั้นมีหัวและหน้ากลม หน้าผากโหนก แก้มเต็ม ดวงตากลมโต มีจมูกที่หัก พูดง่ายๆ ก็คือ สังเกตได้เมื่อมองจากด้านข้าง จะเห็นจุดหักระหว่างจมูกกับหน้าผากได้อย่างชัดเจนนั่นเองค่ะ และนอกจากหน้าตาที่น่ารักแล้ว ยังเป็นแมวที่ขี้ประจบ มีความซุกซน เข้ากับคนได้ง่าย และเป็นแมวที่มีไหวพริบมากทีเดียว จงคำนึงไว้เสมอว่า การดูแลขนของแมวเปอร์เซียนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเลยค่ะ เพราะผู้เลี้ยงจะต้องหมั่นทำความสะอาด แปรงขนเจ้าเหมียวของเราอยู่บ่อยๆ เพื่อให้ขนสวย ไม่เป็นสังกะตัง แถมยังจะช่วยไม่ให้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค รวมทั้งพยาธิต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบ และเป็นที่อยู่ของเห็บหมัดอีกด้วย


"คู่มือการเลี้ยงแมว"




6 โรคแมวที่ควรรู้สำหรับน้องแมวของคุณ








ความคิดเห็น